อันตราย ภัยเงียบ จากความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูงถือว่าเป็นปัญหาสุขภาพลำดับต้นของโลก โดยประชากรทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูงถึง 7.5 ล้านคนและมีประชากรที่ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงเกือบ 1 พันล้านคนทั่วโลก สถานการณ์ในประเทศไทยในปัจจุบัน โรคความดันโลหิตสูงยังคงเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญลำดับต้นๆ ของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง ในปี 2552 พบว่า ประชากรอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านคน เป็น 13 ล้านคนในปี 25571 และเกือบครึ่งหนึ่งไม่ทราบว่าตนเองป่วยด้วยโรคนี้ จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุก ๆปี
โรคความดันโลหิตสูงถือเป็น “ภัยเงียบ” อีกโรคหนึ่ง เนื่องจากไม่มีอาการแสดงและมักไปตรวจพบที่โรงพยาบาลจากการมารักษาโรคอื่น ๆจนทำให้หลายคนต้องเสียชีวิต ซึ่งหากมีภาวะความดันโลหิตสูง เป็นระยะเวลานานแล้วไม่ได้รับการรักษา จะแสดงอาการปวดศรีษะ ใจสั่น ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย วิงเวียน สับสน หายใจลำบาก หัวใจเต้นผิดปกติ แล้วถ้าหากมีภาวะความดันโลหิตสูงแล้วไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ เป็นเวลานาน จะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ หลอดเลือดแดงในตาเสื่อม อาจทำให้มีเลือดออกที่จอตา จนทำให้ประสาทตาเสื่อม ตามัว หรือตาบอดได้ , โรคหลอดเลือดหัวใจ เกิดจากหัวใจทำงานหนักขึ้นจนทำให้ผนังหัวใจหนาตัว และถ้าไม่ได้รับการรักษาจะทำให้เกิดหัวใจโตและหัวใจวายในที่สุด , โรคหลอดเลือดสมอง เกิดภาวะหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน หรือแตก จนทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต , โรคไตเรื้อรัง เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไตไม่เพียงพอ ทำให้เกิดไตวาย และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% แพทย์จะตรวจไม่พบโรค หรือภาวะผิดปกติ รวมไปถึงต้นเหตุของความดันโลหิตสูง เรียกว่า “ความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด” (Essential hypertension) ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากกรรมพันธุ์ และ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งพบว่าเมื่อมีประวัติในครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง โดยรุ่นลูกและรุ่นหลานจึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนของพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันมักจะเกิดจากการรับประทานอาหารรสเค็ม รสจัด และอาหารขยะ (junk food) โดยมักประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโซเดียมในปริมาณมาก เช่น น้ำอัดลม ของหวาน อาหารทอด ขนมขบเคี้ยว ขนมปัง รวมถึงภาวะเครียด สูบบุหรี่ พักผ่อนน้อย เป็นต้น ส่วนอีกประมาณ 5-10% แพทย์อาจตรวจพบโรค หรือภาวะผิดปกติ ได้แก่ โรคไต เช่น โรคไตเรื้อรัง กรวยไตอักเสบเรื้อรัง หน่วยไตอักเสบ โรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุง , หลอดเลือดแดงไตตีบ (Renal artery stenosis) , หลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ (Coarctation of aorta), เนื้องอกบางชนิดของต่อมหมวกไต หรือต่อมใต้สมอง

การวัดความดันโลหิตสูงคือ การวัดค่าความดันภายในหลอดเลือดแดงจากการไหลเวียนของ “เลือดแดง” ภายในร่างกาย สามารถวินิจฉัยจากการวัดความดันเลือด โดยใช้ค่า 2 ตัว คือ มีความดันสูงสุดเมื่อหัวใจบีบตัว (Systolic Pressure หรือความดันซิสโทลิก “Sys” ) และความดันต่ำสุดเมื่อหัวใจคลายตัว (Diastolic Pressure หรือความดันไดแอสโทลิก”Dia” ) โดยความดันโลหิตปกติอยู่ที่ Sys/ Dia คือ 120/80 มิลลิเมตรปรอท ส่วนที่แพทย์สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ต้องมีค่า Sys/ Dia อยู่ที่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป จากค่ามาตรฐานของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (American Heart Association หรือ “ AHA”) ปี2017 โดยจะมีค่าตารางดังนี้
การรักษาและการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง สามารถทำได้โดยเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตทั้งการรับประทานอาหารและการพักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงทั้งของร่างกายและหลอดเลือดเพื่อให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น มีดังนี้
